ตู้เย็น 2 ประตู : ช่องแช่แข็งด้านบน / ช่องแช่แข็งด้านล่าง


คู่มือเลือกซื้อ ตู้เย็น 2 ประตู

          ตู้เย็น 2 ประตู จะมีการแยกช่องแช่แข็งและช่องแช่เย็นออกจากกันอย่างชัดเจน ช่วยให้ควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำกว่า ตู้เย็นส่วนใหญ่มักมีระบบ No Frost หรือละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ ทำให้หมดปัญหาเรื่องน้ำแข็งเกาะช่องฟรีซ  

         การเลือกซื้อตู้เย็นเป็นการลงทุนสำคัญสำหรับทุกครัวเรือน หลายคนมักสงสัยว่าควรเลือก ตู้เย็น 2 ประตู อย่างไร เรามีคำตอบ
 เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น!

3 จุดเด่นสำคัญที่ต้องพิจารณา

  1. เทคโนโลยี Inverter : เลือก ตู้เย็น Inverter เพื่อการทำงานของคอมเพรสเซอร์ที่สม่ำเสมอ ประหยัดไฟ เงียบ ทนทาน
    คุ้มค่าในระยะยาว

  2. ความจุที่เหมาะสม : ควรคำนวณความจุ (คิว) ให้สัมพันธ์กับจำนวนสมาชิก 
    • 1-2 คน : ขนาด 5-7 คิว
    • 3-4 คน : ขนาด 7-12 คิว
    • 5 คนขึ้นไป : ขนาด 12-20 คิว

  3. ระบบทำความเย็น : ตรวจสอบฟังก์ชันถนอมอาหารเฉพาะช่อง เช่น ช่องแช่ผัก/ผลไม้ที่มีการควบคุมความชื้น เพื่อให้วัตถุดิบสดใหม่อยู่เสมอ

    คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

    ตู้เย็น 2 ประตูประหยัดไฟจริงหรือไม่?

    ตอบ : จริง! ตู้เย็น 2 ประตูระบบ Inverter ประหยัดไฟได้ 30-40% เมื่อเทียบกับตู้เย็นแบบธรรมดา แม้จะมีขนาดใหญ่กว่า
    แต่ด้วยเทคโนโลยี Inverter ที่ปรับความเร็วคอมเพรสเซอร์อัตโนมัติ ทำให้ใช้ไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลายรุ่นได้ฉลากประหยัดพลังงานเบอร์ 5 ค่าไฟต่อเดือนอยู่ที่ 200-350 บาทเท่านั้น

    ตู้เย็น 2 ประตูต้องละลายน้ำแข็งไหม?

    ตอบ : ไม่ต้อง! ตู้เย็น 2 ประตูส่วนใหญ่มาพร้อมระบบ No Frost หรือ Frost Free ที่ป้องกันการเกิดน้ำแข็งเกาะในช่องแช่แข็ง ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาละลายน้ำแข็งเหมือนตู้เย็น 1 ประตู ประหยัดเวลา สะดวกสบายกว่ามาก

    ควรเลือกแบรนด์ไหนดี?

    ตอบ : แนะนำแบรนด์ยอดนิยมและมีศูนย์บริการครบ

    • Mitsubishi Electric, Hitachi, - ความเสถียรของอุณหภูมิ ทำงานเงียบและประหยัดไฟมาก ๆ ในระดับพรีเมียม 
    • Toshiba, Panasonic, Sharp  - คุณภาพเยี่ยม ทนทาน 
    • LG, Samsung - ดีไซน์สวย เทคโนโลยีทันสมัย
    • Electrolux, Beko - ดีไซน์สวย ใช้งานง่าย
    • Hisense, TCL, Haier - ราคาประหยัด คุ้มค่า